คำที่มักอ่านผิดบ่อย

1.Value (n., v.)
prize, esteem, cherish; assess, estimate, appraise

ไหนๆก็ยกคำว่า volume เป็นประเด็นเกริ่นนำไปแล้ว ก็ขอเอาฝาแฝดมาด้วยอีกคำ
คำว่า Value ถ้าอ่านออกเสียงแบบถูกต้องจริงๆ ต้องอ่านว่า "แฟยิ่ว" ครับ
อันนี้ยืนยันจากประสบการณ์ตรงได้ว่า ถ้าอ่านว่า "แวลู่" ฝรั่งมันงงจริงๆ
พยางค์หลัง พยัญชนะต้นคือตัว U ไม่ใช่ตัว L นะครับ ฟังดูกระแดะมากๆ
แต่ถ้าจะอ่านให้ถูกต้อง ต้องยอมกระแดะครับ เราต้องอดทนเพื่อความถูกต้อง!

2.Error (n.)
the state of being wrong in conduct or judgement
ใครอ่านคำนี้ว่า "เออ-เร่อ" บ้างครับ? ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้!!! นั่นไง เพียบเลย...
คำนี้ผมอ่านว่า "เออเร่อ" มาจนถึงไม่กี่ปีนี้ถึงจะได้บรรลุธรรมว่ามันผิด!
ที่ผ่านๆมา อ่านตามชาวบ้านมาตลอด เออเร่อๆ อ๋อเหรอ เออๆ เหรอๆ เออเร่อๆ...
คำนี้คำที่ถูกต้องอ่านว่า "แอ-เร่อะ" ออกเสียงหนักที่พยางค์แรก
ส่วนพยางค์สองแทบไม่ต้องออกเสียงเลยครับ ออกเสียงคล้าย" แอ๊ร์..."

3.Effect (n., v.)
result, outcome; influence; impact; gimmick, trick; natural phenomenon
คำนี้คนไทยออกเสียงผิดประมาณ 99.7% (อีก 0.2% อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก)
เพราะเราจะคุ้นเคยกับคำว่า special effect (สเปล เอฟเฟกต์) ใช่มั้ยครับ
เจอคำนี้เดี่ยวๆปั๊บ เราก็เอฟเฟกต์กันทันใดเชียว ...
คำอ่านที่ถูกต้องของคำนี้คือ "อิ๊เฟกต์" ครับ ออกเสียง f แค่ตัวเดียว
ดังนั้น วันหลังไปดูคอนเสิร์ต หรือหนังแล้วก็อย่าออกเสียงเสล่อๆนะครับ
"The special effect in Transformer 2 is awesome"
สเปลอิเฟกต์ในหนังเรื่องทรานสฟอร์มเมอร์ภาคใหม่:-)เจ๋งเห้ยๆเลยเมิง

4.Purpose (n., v.)
goal, aim; intention, objective
ผมว่าหลายคนสับสนคำนี้กับคำว่า propose (n.) ที่แปลว่านำเสนอ หรือขอแต่งงาน
ซึ่งอ่านออกเสียงว่า "โพรโพ้ส" ตามรูปที่เราเขียนตรงๆ ...
หลายคนก็เลยเข้าใจว่า งั้น purpose ก็ต้องอ่านว่า "เพอร์โพส" น่ะสิ...
เหมือนจะถูก ... แต่ผิดครับ
คำนี้ออกเสียงว่า "เพ้อร์เพิส" พยางค์หลังออกเสียงสั้นครับ

5.genre (n.)
type, style, kind, category
ใครที่ใช้โปรแกรม iTunes ต้องเคยเห็นคำนี้กันทุกคนแน่ๆ
เพราะมันคำที่ใช้แบ่งประเภทของเพลง เช่น pop / R&B / Classic ไรงี้
ซึ่งถ้าอ่านตรงตามที่เห็น คงอ่านกันว่า "เจนรี่" หรือ "เจนเร่" ใช่มั้ยครับ?
ฮ่าๆ... ผมก็เคยอ่านมันว่า "เจอเนอเร่" เหมือนกัน เสล่อเป็นที่สุด
คำอ่านที่ถูกต้องของคำนี้อ่านว่า "ชองระห์" ครับ ...
คำนี้เป็นคำยืมจากภาษาฝรั่งเศส เลยอ่านแบบกระแดะแบบนี้ล่ะครับ

6.debt (n.)
obligation, something owed (as in money)
คำนี้เป็นคำที่อาจารย์สอนวิชา principle of investment
ตอนผมเรียนปีสาม สอนเป็นเรื่องแรกๆเลยครับ ... นอกจาก
จะสอนว่า debt แปลว่าหนี้สิน ซึ่งอยู่ในสมการงบดุล สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
อาจารย์ยังสอนแบบย้ำนักย้ำหนาด้วยครับว่าคำนี้อ่านว่า "เด๊ท" นะคะนิสิต
ถ้านิสิตอ่านว่า "เด๊บ" นี่อาจารย์หักคะแนนจิตพิสัยนะคะ ...

7.fragile (adj.)
easily broken, flimsy; frail, weak, feeble
มีอยู่วันนึง ขณะกำลังต่อแถวเข้าคิวเช็คอินขึ้นเครื่องบิน
จำได้สนิทว่า คนที่อยู่หน้าผมเป็นคุณนายกระบังลมบิลลาบอง
บอกกับพนักงานอย่างชัดเจนว่า "ในกระเป๋ามีน้ำหอมนะคะ
ห้ามโยนนะคะ เดี๋ยวมันจะแตก ช่วยติดป้ายฟราจิ้วให้ด้วยค่ะ ..."
ห๊ะ ... ฟราจิ้ล??? ... อะไรวะ ฟราจิ้ล ... โค้ดลับสายการบินไหนเรอะ
พอผมเห็นพนักงานเอาสติ๊กเกอร์แถบสีส้มที่มีรูปแก้วไวน์แตกมาติดเท่านั้นแหละ
ถึงได้รู้ว่าคุณนายคนนั้นเค้าหมายถึง fragile ที่แปลว่า เปราะบางครับ
คำนี้อ่านว่า แฟรกไจล์ นะครับ ... ฟราจิ้ลนี่เสล่อเด้อๆนางเด่อมากครับ

8.comfortable (adj.)
easy; relaxing; bringing comfort; financially well to do
คำนี้ก็ไม่เชิงผิดหรอกนะครับ แต่คนไทยมักจะลงเสียงหนักผิดที่
เพราะตอนเด็กๆ ผมก็ชอบไปหนักเสียงที่พยางค์ที่สองเป็นประจำ
เราเลยมักอ่านกันว่า "คอมฟ้อร์ทเทเบิ้ล" กันสนุกปาก
แต่อันที่จริง คำนี้ออกเสียงหนังที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์สองแทบไม่ออกเสียง
การออกเสียงที่ถูกต้องจึงควรเป็น คั้มฟท์เทเบิ้ล ครับ ... คือมันไม่ "ฟอร์ท" อะครับ
มันจะมีเสียง "ฟึ่ท" สั้นๆเบาๆอยู่หลังพยางค์แรกแค่นิดเดียวครับ
อ่ะ ลองดูครับ ลองออกเสียงดู คั้มฟท์เทเบิ้ล... อืม เก่งมากครับ




9.effort (n.)
physical or mental exertion, labor; attempt; something accomplished
through hard work; organized operation
เป็นอีกคำที่สร้างความสับสนให้กับชีวิตนักเรียนสอบเอนท์ครับ
เพราะจะไปสับสนกับคำว่า afford (n.) ที่อ่านว่า "อะฟอร์ด"
ไม่อ่านว่า แอ๊ฟฟอร์ดนะครับ ออกเสียง f ตัวเดียว อะฟอร์ดนะครับ
ซึ่งคำนี้แปลว่า จ่ายไหว, พอมีได้โดยไม่ยากลำบากนัก อะไรทำนองนี้
แต่คำว่า effort นั้นออกเสียงว่า "เอฟเฟิร์ท" ครับ
พยางค์หลังออกเสียงสั้นคล้ายกับคำว่า purpose นั่นแหละครับ
คำนี้แปลว่า ความมุ่งมานะ พยายาม อุตสาหะ

10.screen saver (n.)
a program which, after a set time, replaces an unchanging screen
display with a moving image to prevent damage to the phosphor.
ฮ่าๆ คำนี้นี่ฟังดูไร้สาระที่สุดในบรรดาสิบคำแล้วครับ แต่ขอบอกว่าอ่านผิดกันเพียบ
ถึงจะเขียนง่ายอ่านง่าย แต่คนก็อ่านผิดกันตรึม เพราะไปอ่านกันว่า
"สกรีน เซิฟเวอร์" ซึ่งมันควรจะสะกดว่า screen server แทนสิครับ
คำนี้จริงๆอ่านว่า สกรีน เซฟเฟอร์ นะครับ อย่าสับสน saver นะครับ!

genius

10 อันดับคนอัจฉริยะที่สุดของโลก


10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน
ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"


9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ
William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม
ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool


8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด
Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี


7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17
ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง
Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ
ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก

6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด
Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่


5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy
Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป


4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย
http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU
( ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์ด้านบนเลยค่ะ ^^ )


3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน
Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน


2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก
Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย
จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง


1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี "IQ สูงที่สุดในโลก เท่าที่ยังมีชีวิต"
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210
คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน

ปฏิเสธไม่ได้

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของคนเรา คือ ครอบครัว
สิ่งมีค่าในชีวิตของ พ่อแม่ คือ ลูก

และมดไม่เคยปฏิเสธเลยว่าลูกคนนี้ คือ สิ่งสำคัญของ พ่อแม่ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่ทำทุกอย่างเพื่อมดและพี่ๆมาตลอด

สิ่งที่มดรู้เกี่ยวกับพ่อ..........พ่อลำบากมาก เพราะทำทุกสิ่งเพื่อลูก
แต่สิ่งที่พ่อยังไม่เคยรู้ คือ มดตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวเราเช่นกันค่ะ
พ่ออาจไม่ใช่ฮีโร่ในใจใคร และสำหรับพี่ๆและมดพ่อคือ ฮีโร่ ของพวกเรา

สิ่งที่มดรู้เกี่ยวกับแม่..........แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก รักลูกมากกว่าสิ่งใด
แต่สิ่งที่แม่ยังไม่เคยรู้ คือ ลูกคนนี้ตั้งใจเป็นคนดีเพื่อครอบครัวเรานะค่ะ
และจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวเหมือนที่พ่อกัยบแม่เคยทำมา

Mania

monomania (from Greek monos, one, and mania, mania) is a type of paranoia in which the patient has only one idea or type of ideas. Emotional monomania is that in which the patient is obsessed with only one emotion or several related to it; intellectual monomania is that which is related to only one kind of delirious idea or ideas.

Monomania in literature

  1. "The Black Cat" (a man fears his cat and kills it, adopts another cat, kills his wife, and is then punished by the cat)
  2. "The Oval Portrait" (about a painter who is obsessed with painting his wife)
  3. "Berenice" (about a madman who wants to marry his sick cousin only for her beautiful teeth)
  4. "The Masque of the Red Death" (a prince fears a terrible disease but finally gets ill from the red death and dies)
  5. "The Tell-Tale Heart" (a madman is obsessed with an elderly man's eye)
  6. "The Fall of the House of Usher" (The main character Usher is obsessed with death itself)
pyromania is an impulse to deliberately start fires to relieve tension and typically includes feelings of gratification or relief afterward. Pyromania is distinct from arson, and pyromaniacs are also distinct from those who start fires because of psychosis, for personal, monetary or political gain, or for acts of revenge. Pyromaniacs start fires to induce euphoria, and often fixate on institutions of fire control like fire stations and firefighters.

social manias are mass movements which periodically sweep through society, sometimes on a world wide basis. They are characterized by an outpouring of enthusiasm, mass involvement and millennialist goals. Social manias are contagious social epidemics. As social phenomena the must be differentiated from mania in individuals, the general state of frenzy, which is a defined psychiatric disease. All the above treatments are gain by function.

Trichotillomania (TTM, also known as "Trichotillosis"[1]), or "trich" as it is commonly known, is an impulse control disorder characterized by the repeated urge to pull out scalp hair, eyelashes, facial hair, nose hair, pubic hair, eyebrows or other body hair, sometimes resulting in noticeable bald patches.[2]:645 Trichotillomania is classified in the DSM-IV as an impulse control disorder, but there are still questions about how it should be classified. It may seem, at times, to resemble a habit, an addiction, a tic disorder or an obsessive-compulsive disorder. Trichotillomania often begins during the individual's teenage years. Depression or stress can trigger the trich. Due to social implications the disorder is often unreported and it is difficult to predict accurately prevalence of trichotillomania; 2.5 million in the U.S. may have TTM, with a 1% prevalence rate.[3]

The name derives from Greek: tricho- (hair), till(en) (to pull), and mania.

Cyclothymia (pronounced /ˌsaɪklɵˈθaɪmiə, ˌsɪklɵ-/) is a mood disorder and a form of bipolar disorder. It is defined in the bipolar spectrum. Specifically, this disorder is a milder form of bipolar II disorder consisting of recurrent mood disturbances between hypomania and dysthymic mood. A single episode of hypomania is sufficient to diagnose cyclothymic disorder; however, most individuals also have dysthymic periods. The diagnosis of cyclothymic disorder is never made when there is a history of mania or major depressive episode or mixed episode. The lifetime prevalence of cyclothymic disorder is 0.4-1%. The rate appears equal in men or women, though women more often seek treatment.

Word Definition
ablutomania mania for washing oneself
aboulomania pathological indecisiveness
agromania intense desire to be in open spaces
andromania nymphomania
anglomania craze or obsession with England and the English
anthomania obsession with flowers
aphrodisiomania abnormal sexual interest
arithmomania obsessive preoccupation with numbers
balletomania abnormal fondness for ballet
bibliomania craze for books or reading
bruxomania compulsion for grinding teeth
cacodemomania pathological belief that one is inhabited by an evil spirit
catapedamania obsession with jumping from high places
chinamania obsession with collecting china
choreomania dancing mania or frenzy
clinomania excessive desire to stay in bed
copromania obsession with feces
cytheromania nymphomania
dacnomania obsession with killing
demonomania pathological belief that one is possessed by demons
dinomania mania for dancing
dipsomania abnormal craving for alcohol
discomania obsession for disco music
doramania obsession with owning furs
doromania obsession with giving gifts
drapetomania intense desire to run away from home
dromomania compulsive longing for travel
ecdemomania abnormal compulsion for wandering
egomania irrational self-centered attitude or self-worship
eleutheromania manic desire for freedom
empleomania mania for holding public office
enosimania pathological belief that one has sinned
entheomania abnormal belief that one is divinely inspired
epomania craze for writing epics
ergasiomania excessive desire to work; ergomania
ergomania excessive desire to work; workaholism
erotomania abnormally powerful sex drive
etheromania craving for ether
ethnomania obsessive devotion to one's own people
eulogomania obsessive craze for eulogies
flagellomania abnormal enthusiasm for flogging
florimania craze for flowers
francomania craze or obsession with France and the French
gallomania craze or obsession with France and the French
gamomania obsession with issuing odd marriage proposals
Graecomania obsession with Greece and the Greeks
graphomania obsession with writing
gynaecomania abnormal sexual obsession with women
habromania insanity featuring cheerful delusions
hagiomania mania for sainthood
Hellenomania obsession with Greece and the Greeks; Graecomania
hexametromania mania for writing in hexameter
hieromania pathological religious visions or delusions
hippomania obsession with horses
hydromania irrational craving for water
hylomania excessive tendency towards materialism
hypermania severe mania
hypomania minor mania
hysteromania nymphomania
iconomania obsession with icons or portraits
idolomania obsession or devotion to idols
infomania excessive devotion to accumulating facts
islomania craze or obsession for islands
Italomania obsession with Italy or Italians
kleptomania irrational predilection for stealing
klopemania kleptomania
logomania pathological loquacity
lypemania extreme pathological mournfulness
macromania delusion that objects are larger than natural size
megalomania abnormal tendency towards grand or grandiose behaviour
melomania craze for music
methomania morbid craving for alcohol
metromania insatiable desire for writing verse
micromania pathological self-deprecation or belief that one is very small
monomania abnormal obsession with a single thought or idea
morphinomania habitual craving or desire for morphine
musomania obsession with music
mythomania lying or exaggerating to an abnormal extent
narcomania uncontrollable craving for narcotics
necromania sexual obsession with dead bodies; necrophilia
nosomania delusion of suffering from a disease
nostomania abnormal desire to go back to familiar places
nymphomania excessive or crazed sexual desire
oenomania obsession or craze for wine
oligomania obsession with a few thoughts or ideas
oniomania mania for making purchases
onomamania mania for names
onomatomania irresistible desire to repeat certain words
onychotillomania compulsive picking at the fingernails
opiomania craving for opium
opsomania abnormal love for one kind of food
orchidomania abnormal obsession with orchids
parousiamania obsession with the second coming of Christ
pathomania moral insanity
peotillomania abnormal compulsion for pulling on the penis
phagomania excessive desire for food or eating
phaneromania habit of biting one’s nails
pharmacomania abnormal obsession with trying drugs
phonomania pathological tendency to murder
photomania pathological desire for light
phyllomania excessive or abnormal production of leaves
phytomania obsession with collecting plants
planomania abnormal desire to wander and disobey social norms
plutomania mania for money
polemomania mania for war
politicomania mania for politics
polkamania craze for polka dancing
polymania mania affecting several different mental faculties
poriomania abnormal compulsion to wander
pornomania obsession with pornography
potichomania craze for imitating Oriental porcelain
potomania abnormal desire to drink alcohol
pseudomania irrational predilection for lying
pteridomania passion for ferns
pyromania craze for starting fires
rhinotillexomania compulsive nose picking
rinkomania obsession with skating
satyromania abnormally great male sexual desire; satyriasis
scribbleomania obsession with scribbling
sebastomania religious insanity
sitiomania morbid aversion to food
sophomania delusion that one is incredibly intelligent
squandermania irrational propensity for spending money wastefully
stampomania obsession with stamp-collecting
syphilomania pathological belief that one is afflicted with syphilis
technomania craze for technology
Teutomania obsession with Teutonic or German things
thanatomania belief that one has been affected by death magic, and resulting illness
theatromania craze for going to plays
theomania belief that one is a god
timbromania craze for stamp collecting
tomomania irrational predilection for performing surgery
toxicomania morbid craving for poisons
trichotillomania neurosis where patient pulls out own hair
tulipomania obsession with tulips
typhomania delirious state resulting from typhus fever
typomania craze for printing one’s lucubrations
uranomania obsession with the idea of divinity
verbomania craze for words
xenomania inordinate attachment to foreign things
zoomania insane fondness for animals


Word Definition
acarophobia fear of itching or of insects causing itching
acrophobia fear of heights
aerophobia fear of flying or draughts
agoraphobia fear of open spaces
agyiophobia fear of crossing busy streets
aichmophobia fear of sharp or pointed objects
ailurophobia fear of cats
algophobia fear of pain
amathophobia fear of dust
amaxophobia fear of riding in a car
ambulophobia fear of walking
anglophobia fear of England or the English
anthrophobia fear of humans
anuptaphobia fear of staying single
aquaphobia fear of water
arachibutyrophobia fear of peanut butter sticking to roof of mouth
arachnophobia fear of spiders
astraphobia fear of being struck by lightning
astrapophobia fear of thunder and lightning
automysophobia fear of being dirty
autophobia fear of solitude
ballistophobia fear of missiles
bathophobia fear of falling from a high place
batophobia fear of heights or being close to tall buildings
batrachophobia fear of frogs and toads
belonephobia fear of pins and needles
bibliophobia fear of books
blennophobia fear of slime
brontophobia fear of thunder and lightning
cancerophobia fear of cancer
cathisophobia fear of sitting
cenophobia fear of empty spaces
chrematophobia fear of money
cibophobia fear of or distaste for food
claustrophobia fear of closed spaces
climacophobia fear of falling down stairs
clinophobia fear of staying in bed
cremnophobia fear of cliffs and precipices
cyberphobia fear of computers
cynophobia fear of dogs
dromophobia fear of crossing streets
dysmorphophobia fear of physical deformities
ecophobia fear of home
eleutherophobia fear of freedom
eosophobia fear of dawn
ergasiophobia fear of work
ergophobia fear of work
erotophobia fear of sex
erythrophobia fear of red lights or of blushing
euphobia fear of good news
Francophobia fear of France or the French
gallophobia fear of France or the French
gamophobia fear of marriage
geniophobia fear of chins
genophobia fear of sex
gerascophobia fear of growing old
graphophobia fear of writing
gymnophobia fear of nudity
heliophobia fear of sunlight
herpetophobia fear of snakes
hierophobia fear of sacred things
homichlophobia fear of fog
homophobia fear of homosexuals
hydrophobia fear of water
hypsophobia fear of high places
iatrophobia fear of going to the doctor
iconophobia fear or hatred of images
kainotophobia fear of change
kakorrhaphiophobia fear of failure
kenophobia fear of empty spaces
ligyrophobia fear of loud noises
linonophobia fear of string
lygophobia fear of darkness
lyssophobia fear of hydrophobia
macrophobia fear of prolonged waiting
metrophobia fear of poetry
monophobia fear of being alone
muriphobia fear of mice
myophobia fear of mice
mysophobia fear of contamination or dirt
nebulaphobia fear of fog
necrophobia fear of corpses
negrophobia fear of blacks
neophobia fear of novelty
nosophobia fear of disease
novercaphobia fear of one's stepmother
nyctophobia fear of the night or darkness
ochlophobia fear of crowds
oenophobia fear or hatred of wine
ombrophobia fear of rain
onomatophobia fear of hearing a certain word
ophidiophobia fear of snakes
ophthalmophobia fear of being stared at
optophobia fear of opening one’s eyes
ornithophobia fear of birds
paedophobia fear of children; fear of dolls
panophobia melancholia marked by groundless fears
pantophobia fear of everything
parthophobia fear of virgins
pathophobia fear of disease
pediculophobia fear of lice
pentheraphobia fear or hatred of one’s mother-in-law
phagophobia fear of eating
phengophobia fear of daylight
phonophobia fear of noise or of speaking aloud
photophobia fear of light
pogonophobia fear of beards
psychrophobia fear of the cold
pteronophobia fear of being tickled by feathers
pyrophobia fear of fire
Russophobia fear of Russia or Russians
satanophobia fear of the devil
sciaphobia fear of shadows
scopophobia fear of being looked at
scoptophobia fear of being looked at
scotophobia fear of the dark
sitiophobia fear of food
sitophobia fear of food or eating
spectrophobia fear of looking in a mirror
symmetrophobia fear of symmetry
syphilophobia fear of syphilis
taphephobia fear of being buried alive
technophobia fear of technology
thalassophobia fear of the sea
thanatophobia fear of death
theophobia fear of God
tocophobia fear of pregnancy or childbirth
tonitrophobia fear of thunder
topophobia fear of performing; fear of certain places
toxicophobia fear of poisoning
toxiphobia fear of poison or being poisoned
triskaidekaphobia fear of the number thirteen
uranophobia fear of heaven
xenophobia fear of foreigners
zelophobia fear of jealousy
zoophobia fear of animals



Phobia

Social phobia - fears involving other people or social situations such as performance anxiety or fears of embarrassment by scrutiny of others, such as eating in public. Social phobia may be further subdivided into
* generalized social phobia (also known as social anxiety disorder) and
* specific social phobia, in which anxiety is triggered only in specific situations.[7] The symptoms may extend to psychosomatic manifestation of physical problems. For example, sufferers of paruresis find it difficult or impossible to urinate in reduced levels of privacy. This goes far beyond mere preference: when the condition triggers, the person physically cannot empty their bladder.
Specific phobias - fear of a single specific panic trigger such as spiders, snakes, dogs, water, heights, flying, catching a specific illness, etc. Many specific phobias involve fears that a lot of people have to a lesser degree. People with the phobias specifically avoid the entity they fear.
Agoraphobia - a generalized fear of leaving home or a small familiar 'safe' area, and of possible panic attacks that might follow
* Chemophobia - prejudice against artificial substances in favour of "natural" substances.
* Christianophobia - fear or dislike of Christians or Christianity.
* Ephebiphobia - fear or dislike of youth or adolescents.
* Gynophobia - fear or dislike of women.
* Heterophobia - fear or dislike of heterosexuality.
* Homophobia - fear or dislike of homosexuality.
* Xenophobia - fear or dislike of strangers or the unknown, sometimes used to describe nationalistic political beliefs and movements. It is also used in fictional work to describe the fear or dislike of space aliens.


Psychological conditions

Animal phobias

Non-psychological conditions

Biology, chemistry

Prejudices and discrimination

Jocular and fictional phobias

  • Aibohphobia – a joke term for the fear of palindromes, which is a palindrome itself. The term is a piece of computer humor entered into the 1981 The Devil's DP Dictionary[3]
  • Anachrophobia – fear of temporal displacement, from a Doctor Who novel by Jonathan Morris.
  • Anoraknophobia – a portmanteau of "anorak" and "arachnophobia". Used in the Wallace and Gromit comic book Anoraknophobia. Also the title of an album by Marillion.
  • Arachibutyrophobia – fear of peanut butter sticking to the roof of the mouth. The word is used by Peter O'Donnell in his 1985 Modesty Blaise adventure novel Dead Man's Handle.[4] It had circulated, unattributed, in the Internet for some time until it landed at the CTRN Phobia Clinic website: "Working one-on-one with one of our team, with guaranteed lifetime elimination of Sticky Peanut Butter Phobia. From $1497 and up."
  • Hippopotomonstrosesquipedaliophobia – fear of long words.[5] Hippopoto- "big" due to its allusion to the Greek-derived word hippopotamus (though this is derived as hippo- "horse" compounded with potam-os "river", so originally meaning "river horse"; according to the Oxford English, "hippopotamine" has been construed as large since 1847, so this coinage is reasonable); -monstr- is from Latin words meaning "monstrous", -o- is a noun-compounding vowel; -sesquipedali- comes from "sesquipedalian" meaning a long word (literally "a foot and a half long" in Latin), -o- is a noun-compounding vowel, and -phobia means "fear". Note: This was mentioned on the first episode of Brainiac Series Five as one of Tickle's Teasers.
  • Nihilophobia - fear of nothingness, as described by the Doctor in the Star Trek: Voyager episode Night. Voyager's morale officer and chef Neelix suffers from this condition, having panic attacks while the ship was traversing a dark expanse of space known as the Void. It is also the title of a 2008 album by Neuronium.
  • Venustraphobia – fear of beautiful women, according to a 1998 humorous article published by BBC News.[1] The word is a portmanteau of "Venus trap" and "phobia". Venustraphobia is the title of a 2006 album by Casbah Club

Miscellaneous

Phobia - Mania

[ Phobia - Mania ] ว่าด้วยความกลัว

(Phobia)
คำว่า Phobia มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกที่แปลว่า ความกลัว ค่ะ
แน่นอน ไอ้คำว่า Phobia โดยทั่วไปย่อมหมายถึงความกลัวอย่างรุนแรงของบุคคลหนึ่งๆต่อสถานการณ์ สิ่งของ กิจกรรม หรือบุคคลบางประเภท ผู้ที่มี Phobia ทั้งหลายเหล่านี้จะมีอาการต้องการที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เขากลัวให้ได้มากที่สุดอย่างไม่มีสาเหตุค่ะ (กลัวทำไมไม่รู้ ขอตูโกยก่อน ว่างั้นแหละค่ะ) ซึ่ง Phobia ที่มีในโลกของเราจะแบ่งออกเป็น

- Phobia ที่เกิดจากความผิดปกติทางจิตใจ
- Phobia ที่เกิดจากความกลัวสัตว์ชนิดต่างๆ (Zoophobia)
- Phobia ที่เกิดจากสารเคมี
- Phobia ที่เกิดจากอคติ ความไม่ชอบอย่างรุนแรง (จะว่าไปก็คล้ายๆประเภทแรกเนาะ)

สำหรับวิธีรักษา ความกลัว จำพวกนี้ แพทย์บางคนเขาก็ใช้ระบบภาพเสมือนจริง (Virtual Reality) ส่งผู้ป่วยเข้าไปอยู่ในสถานการ์ที่ถูกสร้างขึ้นให้เข้าได้ปะทะกับสิ่งที่เขากลัวโดยตรง เพื่อให้เขาได้ทำความเข้าใจกับมันแล้วลดความกลัวลงค่ะ
(สมมุติว่ามีผู้ป่วยคนหนึ่งเป็นโรคกลัวพื้นที่กว้างและการออกสู่โลกภายนอก แพทย์เขาก็จะจำลองสถานการณ์ขึ้นมาให้ผู้ป่วยคนนั้นไปอยู่ในที่โล่งแจ้ง อะไรทำนองนี้ค่ะ แต่ก็นะ เขาก็จะป้องกันไม่ให้สถานการณ์ที่จำลองขึ้นนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยอาการกำเริบ กลัวจนช็อคแน่นอนค่ะ) นอกจากนี้ ก็ยังมีวิธีรักษาด้วยการใช้ยาระงับความซึมเศร้าเข้าช่วยด้วย

เอาล่ะ รู้จักประเภทและวิธีรักษาเบื้องต้นของ Phobia แล้ว วันนี้เรียวขอนำเสนอ Phobia แปลกๆ ที่บางคนอาจจะพูดว่า 'เฮ้ย ไอ้ความกลัวแบบนี้มีด้วยเหรอ ?' มาฝากก

Androphobia - โรคกลัวผู้ชาย (โอ้ ถ้าผู้ชายเป็นโรคนี้จะเป็นยังไงเนี่ย ?)
Autophobia - โรคกลัวการอยู่คนเดียว (ขาดความอบอุ่นนี่เอง)
coulrophobia - โรคกลัวตัวตลก (อู้วว....)
Dentalphobia - โรคกลัวหมอฟันและอุปกรณ์ทำฟัน
Erotophobia - โรคกลัวการมีเพศสัมพันธ์ (บางทีคนเราน่าจะเป็นโรคนี้กันเยอะๆนะ จะได้ไม่ท้องก่อนแต่งไง .....ล้อเล่นจ้ะ)
Gephyrophobia - โรคกลัวสะพาน (o_0)
Glossophobia - โรคกลัวการพูดในที่สาธารณะ
Lalophobia - โรคกลัวการพูด (พระเจ้า.... หนักกว่าข้างบนอีกนะเนี่ย)
Necrophobia - โรคกลัวความตาย (อันนี้เจ้าของบล็อคก็กลัวจ้า)
Gymnophobia - โรคกลัวภาพเปลือย (โอ้ เด็กดีนะเนี่ย... ว่าแต่ เวลาอาบน้ำจะทำไงล่ะจอร์จ !!??)
Paraskavedekatriaphobia (ชื่อยาวจัง) - โรคกลัววันศุกร์ที่ 13 (อันนี้น่าสนใจนะ)
Panphobia - โรคกลัวครอบจักรวาล กลัวทุกอย่างแม้ว่าจะไม่รู้ว่ากลัวไปทำไม (น่ากลัว..)
Ephebiphobia - โรคกลัวความอ่อนวัย (อ่า... ชอบคนแก่ว่างั้นสิ)
Xenophobia - โรคกลัวชาวต่างชาติ (พวกเรามักจะเป็นกันเวลาเจอฝรั่งใช่ไหมเอ่ย ?)

และตบท้ายด้วย Phobia ที่ไม่มีจริง แต่คนแต่งขึ้นมา และมันก็แปลกพอควรน่ะนะคะ
Aibophobia - โรคกลัวพาลินโดรม (คำที่เขียนจากหลังไปหน้าก็ยังอ่านเหมือนเดิม เช่น 101 เขียนจากหลังไปหน้าก็ยังอ่านว่า 101 ค่ะ)
**ข้อสังเกต - คำว่า Aibophobia จริงๆ มันก็เป็นพาลินโดรมเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ
Anatidaephobia - โรคกลัวว่า ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะมีเป็ดตัวหนึ่งเฝ้ามองคุณอยู่ตลอดเวลา (กร๊ากกกก น่ากลัว)
Arachnophobiaphobia - โรคกลัวคนที่เป็นโรคกลัวแมงมุมค่ะ (กลัวต่อกันมาเป็นทอดๆสินะ = =)
Hippopotomonstrosesquipedaliophobia (ยาวกว่าโรคศุกร์ 13 อีกครับพี่น้อง) - โรคกลัวคำยาวๆ
**ข้อสังเกต - Hippopotomonstrosesquipedaliophobia เองก็เป็นคำที่ยาวมากๆเลยเนาะ = =
และสุดท้าย
Phobophobia - โรคกลัวความกลัว
อาการหลงผิดในผู้ป่วย mania มักเป็นลักษณะของความคิดว่าตนเองเป็นใหญ่เป็นโต เป็นบุคคลสำคัญ
เป็นเชื้อพระวงศ์ มีฐานะร่ำรวยหรือเก่งกาจเป็นอัจฉริยะ บรรลุโสดาบัน เป็นต้น

7 เมืองโรแมนติก

เมืองยอดฮิตที่ได้ซื่อว่าแสนโรแมนติก สำหรับคู่รักที่อยากจูงมือกันไปหวานมีเมืองไหนน่าไป น่าเที่ยวบางมาดูกัน

1. Paris - France ปารีส ฝรั่งเศส City of Love
ติดอันดับทุกครั้งทั้งจากนิตยสารท่องเที่ยวและเว็บไซต์ มีทั้งร้านอาหารชั้นเลิศ ร้านกาแฟเก๋ๆ พิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดังพระราชวังเก่าแก่ สำหรับคู่รักไม่ควรพลาดการขึ้นหอไอเฟลเพื่อชมทิวทัศน์ปารีสมุมสูงและการล่องแม่น้ำแซน

2. Venice - Italy เวนิส อิตาลี
เมืองแห่งสายน้ำที่ใครไปแล้วต้องหลงเสน่ห์ ทั้งจากการเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ชิมอาหารอิตาเลียน ถ้าอยากเพิ่มความโรแมนซ์ให้กับชีวิตแนะนำให้นั่งเรือกอนโดลาล่องไปตามคลอง เพราะพ่อหนุ่มคนแจวเรือจะขับกล่อมคุณด้วยเสียงเพลง

3. Vienna - Austria เวียนนา ออสเตรีย
เมืองแห่งดนตรีคลาสสิก และสถาปัตยกรรมแบบ โรมัน บารอค ใช้วันเวลาแห่งการพักผ่อนด้วยการเดินทอดน่องริมแม่น้ำดานูบพักจิบกาแฟ ช่วงเดือนธันวาคมถึง 10 มีนาคม อย่าลืมพกชุดเต้นรำไปด้วย เพราะมีเทศกาลเต้นรำที่โน่น คุณสองคนจะได้รู้ลึกราวกับเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย

4. Prague - Czech Republic ปราก สาธารณรัฐเชก
ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองเทพนิยาย แถมค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวก็ไม่สูงเหมือนเมืองในยุโรปทั่วๆ ไป แนะนำให้ไปชมโอเปร่า และเดินเล่นยามเย็นที่สะพานชาร์ลส์เพื่อชมความสวยงามของเมืองจากกลางแม่น้ำ Vltava

5. Sonoma valley - California หุบเขาโซโนมา แคลิฟอร์เนีย
บรรยากาศแบบชนบท ไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา นักท่องเที่ยวสามารถชิมไวน์กว่า 40 แห่งตามโรงงานได้อย่างรื่นรมย์ ถ้าอยากให้โรแมนติกเพิ่มขึ้น ให้ชวนกันไปนั่งรถม้าเที่ยวรอบเมือง

6. Casablanca - Morocco คาสซาบลังกา โมร็อกโก
เมืองริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางเหนือในทวีปแอฟริกา ที่โด่งดังจากหนังฮอลลีวูด ทำตัวตามรอยภาพยนตร์ก็สนุกไม่น้อย ถ้าเป็นคุณผู้ชายอย่าลืมซื้อชุดผ้าไหมสวยๆ และงานหัตถศิลป์พื้นเมืองแบบโมร็อกโกให้หวานใจของคุณด้วยล่ะ

7. Amsterdam - Netherlands อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์
แค่บอกว่าเป็นเมืองแห่งกังหันลมและดอกทิวลิป ก็สร้างความโรแมนติกได้แล้วมาถึงอัมสเตอร์ดัม ลองหาจักรยานเช่าขี่ชมเมืองสักวันเหนื่อยนักแวะเที่ยวชมแกลเลอรี แวะดื่มกาแฟ หรือจะนั่งเรือล่องไปตามคลองชมเมืองแบบสวีทหวาน ก็สุดแต่ใจ...

เรื่องซึ้งๆ

"วสิษฐ"เผย"ในหลวง-ราชินี"กำลังโดนคนบางพวกลบหลู่ ให้ร้าย โจมตีอย่างโจ่งครึ่ม ใช้เว็บไซต์เถื่อนเป็นเครื่องมือ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ร่ำไห้บนเวทีอภิปราย เผยทั้ง 2 พระองค์ ทรงอยากเห็นเมืองไทยอยู่รอด เรียกร้องอย่าขัดแย้งกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลย

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่หอประชุมกองทัพเรือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองทัพเรือ และสำนักราชเลขาธิการ ร่วมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "ร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชินี" พร้อมทำพิธีเปิดโครงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนัก ราชเลขาธิการ ระยะที่ 2 เว็บไซต์เผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยมี ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน

ในงานดังกล่าวมีการบรรยายพิเศษหัวข้อ "พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย" โดย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ นางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงานรับใช้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาประมาณ 40 ปี กล่าวว่า ทุกคนทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2498 ไม่ว่าจะทุรกันดารอย่างไรทั้งสองพระองค์ทรงเสด็จฯไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์จะสอนเสมอว่าให้คุยกับราษฎรอย่างเคารพนบนอบ คิดว่าเขาเป็นพี่เป็นน้อง

ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าวอีกว่า ไม่เฉพาะคนยากคนจนตามต่างจังหวัดเท่านั้นที่ทรงช่วยเหลือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ยังทรงช่วยเหลือประชาชนในเรื่องต่างๆอีกด้วย เช่น ครอบครัวได้รับอุบัติเหตุจากการปาหิน วัยรุ่นอาชีวะที่ถูกลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของ 2 สถาบัน เด็กชายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือเด็กชาวเขากำพร้า 2 คนที่เขียนจดหมายร้องทุกข์มายังสำนักพระราชวังขอพระราชทานความช่วยเหลือ ซึ่งพระองค์ทรงช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้เป็นอย่างดี

ในตอนท้าย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าวพร้อมร่ำไห้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนไทย ทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนได้มีความคิด ได้เล่าต่อกันหรือไม่ ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ ไม่เคยหนีจากประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย ทรงทำให้กับแผ่นดิน ทรงทำให้กับประชาชน

"สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ (น้ำเสียงขาดหายไป ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ) แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน" ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าว

ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าวอีกว่า พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ใน โครงการต่างๆ มันไม่ได้เป็นตัวเงิน ที่เอามาแจก คนนั้นเอาไปเท่านี้ คนนี้เอาไปเท่านั้น เงินใช้เมื่อไหร่ก็หมด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ให้เป็นสิ่งถาวร เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับบ้านเรา คู่กับแผ่นดินเรา ทรงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เชิดหน้าชูตาประเทศชาติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำงานศิลปาชีพขึ้นมา เป็นมรดกของชาติให้ ไปดูได้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม กว่าจะทำขึ้นมาได้ ยากเย็น

"งานเหล่านี้ไม่ได้ทำวันนี้ พรุ่งนี้เสร็จ แต่ทรงทำมานับ 10 ปี ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งนั้น จนบัดนี้ มรดกของชาติทั้งถมทอง งานคร่ำ ที่เกือบจะสูญหายไปถูกนำกลับมาสืบสานไว้แล้ว อยากให้ทุกคนได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ และมองดูพระองค์ด้วยว่า ทรงทำงานอย่างไร พูดภาษาง่ายๆ พระองค์ทรงทำงานด้วยหัวใจ ทรงทำงานทุ่มเททั้งหัวใจของพระองค์ให้กับประชาชนคนไทยด้วยความรัก"ท่าน ผู้หญิงจรุงจิตต์ กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ (น้ำตาเริ่มไหล )

รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทั้งสองพระองค์ ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ทำไมพวกเราถึงไม่ตอบแทนพระองค์ด้วยการทำให้พระองค์ชื่นใจ เห็นผลงานที่ทรงทำตรงนั้นตรงนี้ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เมืองไทยเชิดหน้าชูดตาได้ คนไทยเก่ง คนไทยมีเมืองไทยที่งดงาม สวยงาม ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ รุ่นโต ถ่ายทอดกันมาเป็นสังคมไทยที่อยู่เย็นเป็นสุข ในวันที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว เราให้อะไรกับพระองค์บ้าง ให้ความชื่นใจอะไรกับพระองค์บ้าง (พูดพลางร้องไห้ น้ำเสียงสั่นเครือ)

"ทรงไม่ต้องการอะไรเลย ต้องการอย่างเดียว ทรงอยากเห็นเมืองไทยอยู่รอด คนไทยด้วยกันสามัคคีกัน ช่วยกันธำรงชาติบ้านเมืองให้ยั่งยืนต่อไป อย่าขัดแย้งกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ทรงทำมาตลอด 60 ปี ทำไมคนไทยถึงปล่อยให้พระองค์เห็นคนไทยเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่ทำให้พระองค์ชื่นใจ" ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์กล่าวและ ได้เชิญชวนเหล่าทหารเรือที่มาร่วมฟังการบรรยายนับร้อยคนลุกขึ้นร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี

ด้านพล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า เคยรับราชการเป็นหัวหน้านายตำรวจประจำราชสำนัก ถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 ปี ตลอดระยะเวลาที่ได้รับใช้ใกล้ชิดทำให้ได้ตระหนักถึงน้ำพระทัยของทั้งสอง พระองค์ที่มีต่อประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าฯ นอกจากทรงเป็นแม่ของพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้ว ยังทรงเป็นแม่ของแผ่นดินด้วย

"ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ฯ จนบัดนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงไม่เคยห่างจากพระองค์เลย อะไรที่ป็นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีส่วนร่วมรู้เห็นตลอดเวลา ในสมัยที่ผมรับราชการเบื้องพระยุคลบาทเป็นสมัยที่บ้านเมืองไม่สงบจากพวก คอมมิวนิสต์ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่เคยหยุดทรงงาน ไม่ทรงท้อถอยหวั่นเกรง ยังคงเสด็จฯ เยี่ยมประชาชนในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่สีแดงด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์" พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว

อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ่งครึ่มโดยคนบางพวก บางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาลแต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง พบว่า สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ตอนนี้มีเว็บไซต์ เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ อยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง และขอเตือนให้ทราบว่าผู้ที่เราเคารพสักการะ ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตยมากว่า 700 ปี กำลังถูกทำลาย โดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้องตระหนักและช่วยกันคือปกป้อง สถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

"มาวันนี้ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด สิ่งที่ทำได้คืออย่ายอมให้พี่น้อง ลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจ และเผยแพร่ สอนผู้อื่นให้รู้ว่า เมืองไทยอยู่ได้เพราะ 3 สิ่งนี้ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60 ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน" พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักราชเลขาธิการ ได้จัดทำเว็บไซต์เผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ www.ohmpps.go.th/queen โดยได้รวบรวมข้อมูล พระราชกรณียกิจ พระบรมฉายาลักษณ์ที่หาชมได้ยาก พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาท ลงในระบบสืบค้นและระบบเผยแพร่ ซึ่งจะเป็นคลังข้อมูลดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน นำไปใช้ประโยชน์เป็นข้อมูลปฐมภูมิอันทรงคุณค่า เป็นหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์




พระราชินีทรงอ่านจดหมายชาวกะเหรี่ยงถวายในหลวง




ชาวกะเหรี่ยงส่งจดหมายถึงพ่อหลวง พระราชินี ทรงขอพระบรมราชานุญาตนำมาเผยแพร่ต่อประชาชน

วันที่ 24 ต.ค. ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เปิดเผยว่า ตัวแทนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้าน จันทร์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้เขียนจดหมายถึงท่านผู้หญิงมนัสนิตย์ วณิกกุล ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ศาลารวมใจ อ.แม่แจ่ม เพื่อแสดงความรู้สึกถึงข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร

กองราชเลขานุการฯ นำจดหมายดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงประทับเฝ้าพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงอ่านจดหมายดังกล่าวถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลื้มพระทัย และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงขอพระบรมราชานุญาตนำมาเผยแพร่ต่อประชาชน มีใจความว่า

"ศาลารวมใจบ้านจันทร์ 16 ตุลาคม 2552

เรื่อง พ่อหลวงไม่สบาย ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง รัก เป็นห่วงมาก

เรียนท่าน ผู้หญิงมนัสนิตย์ วณิกกุล เมื่อทราบข่าวว่าพ่อหลวงไม่สบาย ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงตั้งจิตอธิษฐาน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในบ้านจันทร์ คุ้มครองรักษาพ่อหลวงหายจากอาการไม่สบายโดยเร็ว อยู่คู่กับคนไทยไปนานๆ พ่อหลวงองค์เดียวของแผ่นดิน พ่อองค์เดียวนี้หาไม่มี เมื่อพ่อหลวงสุขสบาย กะเหรี่ยงยิ้มแย้ม มีกำลังใจ เมื่อพ่อหลวงไม่สบาย กะเหรี่ยงเมื่อยล้า หมดแรง อบอุ่นใดไม่เหมือนอบอุ่นอยู่กับพ่อหลวงของเรา กะเหรี่ยงเกิดมาร่วมชาติกับพ่อหลวงไม่มีอะไรตอบแทน นอกจากขอเป็นคนดีของคนไทย

รักและเป็นห่วงพ่อหลวงมาก

ลงชื่อนางวราภรณ์ คำมิสอน เป็นตัวแทนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง"

Leaving Microsoft to Change the World

ผู้ก่อตั้ง room to read - จอห์น วู้ด

คุณจะน้อยใจหรือไม่ โดย ธามาดา

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณเป็นคนขับรถสิบล้อส่งของในชนบททั้งๆที่ใฝ่ฝันว่าชีวิตนี้จะได้เป็นนักร้องดังก้องโลก

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณมีพ่อขี้เมาบังคับให้คุเล่นดนตรีให้ได้เพื่อหาเงินไปซื้อเหล้าให้พ่อให้ได้มากที่สุด และคุณยังต้องเล่นดนตรีหาเลี้ยงตัวตลอดชีวิตแม้กระทั่งหูหนวกไปแล้ว

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณเกิดมาในครอบครัวยากจน พ่อแมแยกทางกัน คุณต้องยืนต่อแถวสมัครเป็นนักแสดงประกอบฉากละครเวทีตั้งแต่อายุสิบสองขวบเพื่อหาเงินมาเลี้ยงแม่ที่กำลังป่วย

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณทำมาหากินอาชีพไหนก็ไม่เคยสำเร็จเลยตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ครอบครัวก็ขอแยกทางไปที่อื่น

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณถูกครูผู้สอนให้ความเห็นว่าเป็นคนหัวช้าปัญญาทึบไม่น่าจะเอาดีทางไหนได้เลย

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณพิการจนพูดไม่ได้ ขยับแขนขาไม่ได้ เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงไป ต้องนั่นอยู่บนรถเข็นไปตลอดชีวิต

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณถูกดูถูกเหยียดหยามเพราะคุณเป็นคนเอเชียผิวเหลือง ไม่ใช่เป็นฝรั่งผิวขาวผู้ถือตัวว่าเป็นชาติเจริญกว่า เมื่อขึ้นรถไฟชั้นหนึ่งร่วมกับฝรั่งแล้วคุณกลับถูกไล่ลงกลางทางเพราะฝรั่งไม่อยากนั่งรถไฟชั้นหนึ่งร่วมกับคุณ

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณมีพ่อแม่เป็นคนต่างด้าวอพยพ ต้องทำงานในเหมืองถ่านหินหาเงินมาจุนเจือตัวเองโดยไม่รู้อนาคตข้างหน้า

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณถูกพ่อแม่ทิ้งโดยไม่เหลียวแล ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ยากจน ตกจากตึกแถวสองชั้นจนพิการเดินไม่ได้หลายปีและถูกตัดขาข้างหนึ่งในภายหลัง เคยล้มเหลวในการทำงานจนกินยาฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ ต้องทำงานหนักวันละสิบสี่ถึงสิบแปดชั่วโมง และตายในขณะที่ยังทำงานอยู่เมื่ออายุเกือบแปดสิบปี

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณกลายเป็นคนหมดเนื้อหมดตัว กลายเป็นครูสอนคนหูหนวก ถูกคนรอบข้างดูถูกว่าสติเฟื่องประดิษฐ์แต่ของเล่นไร้สาระ

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณเป็นลูกช่างฟอกหลังจนๆจากต่างจังหวัด
เข้าเรียนในโรงเรียนก็ผลการเรียนแย่มากตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย
ยากจนจนแม้กระทั่งขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้ทานอาหารครบทุกมื้อ หยิบจับทำงานอะไรก็มีแต่คนสบประมาท

ฯลฯ

ถ้าคุณเคยมีเรื่องให้ต้องน้อยใจไม่ว่าจะคล้ายหรือจะต่างกับที่ได้กล่าวมาบ้าง
สิ่งหนึ่งที่อยากบอกต่อไปคือ...มีคนจำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วนบนโลกนี้ที่เคยเป็นแบบคุณมาแล้วเหมือนกัน ทุกคนต่างมีความทุกข์กายทุกข์ใจ มีช่วงเวลาแห่งความท้อแท้สิ้นหวัง และเคยพบความลำบากยากแค้นแสนสาหัสมาไม่น้อยไปกว่าคุณ

จะเฉลยให้ดูนะค่ะ


คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณเป็นคนขับรถสิบล้อส่งของในชนบททั้งๆที่ใฝ่ฝันว่าชีวิตนี้จะได้เป็นนักร้องดังก้องโลก...และต่อมาได้กลายเป็นนักร้องจริงๆที่ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณมีพ่อขี้เมาบังคับให้คุเล่นดนตรีให้ได้เพื่อหาเงินไปซื้อเหล้าให้พ่อให้ได้มากที่สุด และคุณยังต้องเล่นดนตรีหาเลี้ยงตัวตลอดชีวิตแม้กระทั่งหูหนวกไปแล้ว...ต่อมาถูกจารึกชื่อในนามหนึ่ง ในนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลนาม ลุดวิกฟอน บีโทเฟน


คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณเกิดมาในครอบครัวยากจน พ่อแมแยกทางกัน คุณต้องยืนต่อแถวสมัครเป็นนักแสดงประกอบฉากละครเวทีตั้งแต่อายุสิบสองขวบเพื่อหาเงินมาเลี้ยงแม่ที่กำลังป่วย...และได้กลายมาเป็นนักแสดงอมตะที่มีคนรักทั้งโลกแบบ ชาร์ลี แชปลิน

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณทำมาหากินอาชีพไหนก็ไม่เคยสำเร็จเลยตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ครอบครัวก็ขอแยกทางไปที่อื่น...เพิ่งจะมาประสบความสำเร็จตอนแก่ชราตอนทำอาชีพทอดไก่ขายข้างถนน...เช่นเดียวกับ ฮาร์โรลด์ แซนเดอร์ส เจ้าของตำนาน ไก่ทอดเคเอฟซี แห่งรัฐเคนทักกี

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณถูกครูผู้สอนให้ความเห็นว่าเป็นคนหัวช้าปัญญาทึบไม่น่าจะเอาดีทางไหนได้เลย...ต่อมาคุณสอบเข้าโรงเรียนโปลิเทคนิคได้ในครั้งที่สอง(ครั้งแรกสอบเข้าไม่ได้)...และได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหฯที่สุดของโลกนี้... อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณพิการจนพูดไม่ได้ ขยับแขนขาไม่ได้ เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงไป ต้องนั่นอยู่บนรถเข็นไปตลอดชีวิต...แต่คุณยังต่อสู้เพื่อให้เรียนจบปริญญาเอก เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษด้วยการใช้อุปกรณ์เลียนเสียงพูดนาทีละยี่สิบคำ เดินทางไปทั่วโลกด้วยรถเข็น เพื่อบรรยายทฤษฎีวิทยาศาสตร์ชั้นสูงและเขียนหนังสือวิทยาศาสตร์ขายดีแปลเป็นภาษาต่างๆวางขายทั่วดลก...กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดชื่อว่า สตีเฟน ฮอว์คิง

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณถูกดูถูกเหยียดหยามเพราะคุณเป็นคนเอเชียผิวเหลือง ไม่ใช่เป็นฝรั่งผิวขาวผู้ถือตัวว่าเป็นชาติเจริญกว่า เมื่อขึ้นรถไฟชั้นหนึ่งร่วมกับฝรั่งแล้วคุณกลับถูกไล่ลงกลางทางเพราะฝรั่งไม่อยากนั่งรถไฟชั้นหนึ่งร่วมกับคุณ...แต่นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้คุณต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมระหว่างสีผิวโดยสันติ กลายเป็นแบบอย่างอันประเสริฐของโลกนานเท่านานเช่นเดียวกับ มหาตมะ คานธี

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณมีพ่อแม่เป็นคนต่างด้าวอพยพ ต้องทำงานในเหมืองถ่านหินหาเงินมาจุนเจือตัวเองโดยไม่รู้อนาคตข้างหน้า...ต่อมาเรียนวิชาการแสดงและมีโอกาสทำอาชีพนักแสดงภาพยนตร์จนประสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง ชาร์ลส บรอนสัน

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณถูกพ่อแม่ทิ้งโดยไม่เหลียวแล ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ยากจน ตกจากตึกแถวสองชั้นจนพิการเดินไม่ได้หลายปีและถูกตัดขาข้างหนึ่งในภายหลัง เคยล้มเหลวในการทำงานจนกินยาฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ ต้องทำงานหนักวันละสิบสี่ถึงสิบแปดชั่วโมง และตายในขณะที่ยังทำงานอยู่เมื่ออายุเกือบแปดสิบปี...ถ้าความพยายามไม่ย่อท้อนั้นเองทำให้คุณกลายเป็นนักแสดงละครเวทีที่มีชื่อเสียงทั่วโลก เมื่อเดินทางไปถึงประเทศใดก็มีคนมาต้อนรับนับหมื่นคน แสดงละครเวทีวันละสองรอบเป็นสิบๆประเทศ เมื่อตายไปยังได้รับการจัดงานศพแบบรัฐพิธี มีทหารกองเกียรติยศเชิญร่างไปตามถนน ฌอง เอลิเซ่ส์ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและดอกกุหลาบเฮกเช่นเดียวกับ ซาราห์ แบร์นา

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณกลายเป็นคนหมดเนื้อหมดตัว กลายเป็นครูสอนคนหูหนวก ถูกคนรอบข้างดูถูกว่าสติเฟื่องประดิษฐ์แต่ของเล่นไร้สาระ... แต่ในที่สุดก็สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกให้กับพวกเราทุกคน นั่นคือโทรศัพท์ของ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบล ผู้ซึ่งในวันฝังศพของเขา คนทั่วทั้งทวีปได้หยุดใช้โทรศัพท์พร้อมกันเป็นเวลาหนึ่งนาทีเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้ที่ประดิษฐ์มันขึ้นมา

คุณจะน้อยใจหรือไม่ ถ้าหากคุณเป็นลูกช่างฟอกหลังจนๆจากต่างจังหวัด
เข้าเรียนในโรงเรียนก็ผลการเรียนแย่มากตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย
ยากจนจนแม้กระทั่งขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้ทานอาหารครบทุกมื้อ หยิบจับทำงานอะไรก็มีแต่คนสบประมาท...แต่ด้วยความเพียรและไม่สนใจต่อคำดูถูกนั้นเอง ทำให้สามารถคิดค้นวิธีการถนอมอาหารด้วยการอุ่นในอุณหภูมิที่เหมาะสมหรือเรียกว่า Pasturization (พาสเจอร์ไรเซชั่น) จากนั้นก็คิดค้นวิธีการฆ่าเชื่อโรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างรักษาคนไข้ คิดค้นวิธีการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าและความรู้ใหม่ๆอีกมากมายในการรักษาชีวิตคน จนในที่สุดก็มาสภาบันทางการแพทย์กระจายออกไปทั่วฉลกแม้กระทั่งในเมืองไทยที่เรียกว่า ปาสตุระสภา หรือ สถานเสาวภา ในปัจจุบัน ผู้ที่ทำกุศลแก่โลกคนนี้คือ หลุย ปาสเตอร์

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของคนจำนวนมากที่คล้ายคลึงกับเราอีกจำนวนมากเช่นกัน
นั่นคืออุปสรรคความแร้นแค้นในชีวิตนานัปการ เกิดมาจน พ่อแม่ทิ้ง บ้านแตกแยก ต้องทำงานหนักหาเงินเลี้ยงตัวกับครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก แม้แต่อาหารก็มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง พิการจนไม่น่าจะทำอะไรได้ ไม่มีเงินเก็บ ถูกดูถูกเหยียดหยาม ทั้งชีวิตที่ผ่านมาพบแต่ความล้มเหลว มองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง
แต่ด้วยความมานะพยายาม ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะพบอุปสรรคแค่ไหน พึ่งตัวเองมากกว่ารอคอยโชคชะตาหรือความช่วยเหลือจากคนอื่น ในที่สุดเขาเหล่านั้น
ก็ได้นำชีวิตตัวเองไปสู้ความสำเร็จ ทั้งที่จริงหลักคิดของเขาเหล่านั้นก็คงไม่ต่างจากหลักคิดที่เราเคยได้ยินกันมานาน หากแต่อาจยังไม่ได้เชื่อมั่นกันจริงๆนั่นคือหลัดฃกคิดที่ว่า... คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนอย่างไรได้

หากเลือกที่จะเป็นคนดี ผลที่ได้คือ การคิดดี พูดดี ทำดี และเป็นคนดี

หากเลือกทั่จะเป็นคนเลว ผลที่ได้ก็คือการคิดเลว ทำเลว และเป็นคนเลวในที่สุด

ทุกคนไม่มีใครเลือกชะตาตัวเองในภายภาคหน้าได้ แต่เลือกที่จะทำสิ่งต่างๆเพื่อที่เป็นแรงหนุนให้เกิดชะตาดีชั่วภายภาคหน้าได้


ความซื่อสัตย์ในวันนี้ก่อให้เกิดความเชื่อถือในวันหน้า

ความพยายามในวันนี้ก่อให้เกิดความสำเร็จในวันหน้า

ความเอื้ออารีต่อกันในวันนี้ทำให้เกิดสังคมที่สงบสุขในวันหน้า

เช่นเดียวกับความคดโกง ความเห็นแก่ตัว ความอาฆาดมาดร้าย ความต้องการเอาชนะกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมนำมาซึ่งผลสะท้อนในอนาคตที่เลวร้ายกว่าอีกหลายเท่าตัว

เหนื่อยจังเลย

ขณะที่เราไม่รู้ว่าชีวิตกำลังจะเดินไปทางไหน ความท้อใจก็ใกล้เข้ามา ยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งดีๆ การสวดมนต์น้อยลง รู้สึกไม่ดีเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องเราก็ปฏิบัติธรรมน้อยลง จิตตก ปลงไม่ได้ เศร้าที่สุด แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าจากนี้จะเป็นเช่นไรจะสู้ ไม่ท้อ ไม่ต้องคิดว่จะทำเพื่อใคร แค่ทำเพื่อตัวเองคนรอบข้างก็มีความสุขแล้

ถนนสองสายในป่าสุดวกวน
ข้าฯ เลือกเดินสายแสนเปลี่ยวไร้ผู้คน
บันดาลดลซึ่งความแตกต่าง
The road of taken.

ข้อเปรียบเทียบ

มดตั้งใจศึกษาเรื่องระบบการศึกษามาแล้วหลายประเทศ ได้ฟังความคิดจากอาจารย์มาบ้าง
พอดีวันนี้ได้ดูเรื่องข่าวเกี่ยวกับ
ประเทศญี่ปุ่นของหายได้คืน เรารู้สึกดีมากอ่ะ เพราะเขาสัมภาษณ์ตำรวจที่ดูแลเรื่องนี้ เขาบอกว่าเป็นเพราะที่นี่ถูกปลูกฝังเรื่องจริยธรรมมาตั้งแต่เด็ก โดยที่โรงเรียนจะเน้นเรื่องนี้มาก เราดูแล้วสะท้อนเลย แล้วข่าวก็เป็นเรื่องของอเมริกาอ่ะ เมืองที่ใหญ่มากแต่ว่าของหายไม่ได้คืนนะจ๊ะ เราก็แบบว่ารู้สึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตทุกครั้ง เราก็รู้สึกเลยนะว่าอยากให้โรงเรียนสอนเรื่องจริยธรรมให้มากๆ เพราะมันช่วยได้เยอะนะ เราคิดว่างั้น

My home.

ตั้งแต่เกิดมาไม่มีสักครั้งที่รู้สึกแย่หรือท้อแท้ใจ จนวันที่ต้องออกไปใช้ชีวิตลำพัง ต้องเริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่และตัดสินใจทุกอยางด้วยตัวเอง ก็ได้รู้เลยว่าชีวิตนี้ไม่ง่ายเลยจริง สิ่งที่คิดมาตลอดทั้งชีวิตคือทำอะไรก็ได้เพื่อครอบครัว จะเหนื่อย หนัก หรือเจ็บแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ภูมิใจเลย พ่อแม่กลับรู้สึกแย่มากด้วยซ้ำ
มดจบ ม.6 สอบได้คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เรียนได้ 1 ปีก็ตัดสินใจว่าจะซิ่ว เพราะคิดว่าจะสอบแพทย์ให้ได้แต่เหมือนเคยไม่ได้ จึงหันไปเรียนพยาบาลแทนเพื่อจะได้ต่อแพทย์ เพราะจำได้ตลอดว่าเวลาไปหาตา ตาก็จะบอกว่ายายอยากให้เป็นพยาบาล และตาอยากให้เรยีนพยาบาลทหารเรือมาก สุดท้ายมดก็ซิ่วมากเรียนที่พยาบาลตำรวจ แต่สิ่งที่ได้พบเจอตั้งแต่วันแรกทำให้รู้สึกแย่มาก จนไม่อยากนึกถึง พูดถึงหรือแค่เห็นรั้ววิทยาลัยก็ร้องไห้แล้ว มดเครียดมากตอนที่เรียนที่นั่น ถึงจะเรียนได้คะแนนดีก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น พ่อแม่ก็เสียใจที่ต้องรับฟังสิ่งที่เกิดกับลูกสาว จนพ่อแม่ให้ลาออก คำที่ได้ฟังจากพ่อและแม่ไม่ใช่คำด่า แต่พ่อถามว่าไหวไหมลูกลาออกแล้วหาที่เรียนใหม่นะ แม่บอกว่าไม่สายไปหรอกลูกที่จะเรียน คนที่เขาแก่กว่านี้เขายังเรียนได้เลย มดดีใจมาก นี่แหละคือครอบครัว นี่แหละคือบ้านที่แท้จริง ความรักความจริงใจคือครอบครัว มดรู้แค่ว่ามีพ่อแม่อยู่ที่ไหนที่นั่นก็คือบ้าน ขอแค่บอกเราอยู่ด้วยกันก็พอ
พ่อเป็นตำรวจ เป็นฮีโร่ของมด พ่ออาจจะเป็นแค่ดาบตำรวจ แต่ก็ทำเพื่อลูกคนนี้ตลอดมา ไม่ว่าอย่กได้อะไร อยากเรียนที่ไหน ถึงไม่มีเงิน พ่อก็จะหามาให้ แม่จะทำให้ทุกอย่างคอยเป็นห่วงดูแลเสมอ ขอบคุณพ่อแม่มากนะคะ พี่ชายด้วย และครอบครวของเราทุกคน
มดไม่ได้ว่าพยาบาลตำรวจไม่ดีนะแค่บางคนโดยส่วนมากยังไร้เมตตาเท่านั้นเอง คำพูดเสียดแทง การกระทำไม่ดีลดลงบ้างก็ได้ เผื่อสิ่งดีจะมีมากขึ้น จากกันด้วยดี จากวันนี้เราอโหสิให้ทุกอย่าง มดจะลืมเรื่องทั้งหมดที่นั่นให้ได้ และจะไม่จำอะไรเลย หวังว่าจะลืมได้นะ